ชีวิตยามค่ำคืนของนกแสก

นกแสกเป็นนกที่ออกหากินในตอนกลางคืน (Nocturnal animal) โดยนกแสกจะมีพฤติกรรมการล่าหนูหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดเล็กด้วยวิธีการการซุ่มโจมตี ในค่ำคืนที่มืดมิดไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการหาอาหารของนกแสกเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเหยื่อจะว่องไว และซ่อนตัวภายใต้พื้นหญ้ารกทึบแค่ไหนก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงของนกแสก แล้วทุกคนสงสัยไหมว่านกแสกใช้ชีวิตในค่ำคืนที่ไร้แสงสว่างได้อย่างไร ก็เพราะว่านกแสกนั้นมีการปรับตัวและมีวิธีการออกล่าเหยื่อในยามค่ำคืนดังต่อไปนี้

มองเห็นได้ดีในที่มืด 

เนื่องจากภายในดวงตาจะมีจอรับภาพที่เรียกว่า จอประสาทตา (Retina) เมื่อแสงตกกระทบเซลล์ภายในจอประสาทตา ทำหน้าที่รับรูปทรงและสีของวัตถุที่มองส่งไปยังสมอง โดยจะประกอบด้วยเซลล์ที่เรียกว่า เซลล์รูปแท่ง ที่ทำงานได้ดีในที่สลัวหรือที่มีแสงน้อย และรับการเคลื่อนไหวของวัตถุ แต่มองเห็นสีได้เพียงสีขาวกับสีดำ ส่วนอีกเซลล์หนึ่งเรียกว่า เซลล์รูปกรวย จะทำงานได้ดีในที่มีแสงมาก สามารถมองเห็นสีต่าง ๆ ของวัตถุได้ แต่จะทำงานไม่ได้เมื่อไม่มีแสงหรือทำงานได้ไม่ดีในที่แสงสลัว

นกแสกมีทั้งสองเซลล์แต่เซลล์รูปแท่งจะมีมากกว่า ซึ่งสามารถมองเห็นเหยื่อในที่แสงสลัว นอกจากนี้เนื้อเยื่อพิเศษที่อยู่หลังเรตินาที่เรียกว่า Tapetum lucidum ซึ่งเหมือนกระจกสะท้อนแสงที่จะสะท้อนแสงกลับเข้าไปในจอประสาทตาอีกครั้งหนึ่ง เป็นส่วนที่ช่วยการมองเห็นในที่มืดได้ดีขึ้น เราจึงเห็นตาของสัตว์เหล่านี้สะท้อนแสงออกมาจากดวงตา

สายตามองได้กว้างไกล

นกแสกมีตาทั้งสองข้างอยู่ด้านหน้าเหมือนมนุษย์ ทำให้มองเห็นวัตถุพร้อมกันในเวลาเดียวกัน (Binocular vision) ภาพจึงมีความกว้าง ความยาวและความลึก หรือที่เรียกว่าภาพสามมิติ ทำให้รู้ระยะทางของเหยื่อได้ เมื่อเปรียบเทียบกับนกที่มีตาอยู่ด้านข้าง (Monocular vision) จะมีมุมการมองเห็นภาพสามมิติน้อยกว่า ข้อจำกัดของตานกแสกคือไม่สามารถกลอกลูกตาได้ จึงอาศัยอวัยวะอย่างคอที่มีกระดูกคอมากกว่ามนุษย์ถึงสองเท่า ใช้แทนการกลอกของลูกตาจึงสามารถหันหัวได้ 270 องศา

มีหูดีช่วยระบุตำแหน่งเหยื่อ

ถึงแม้ว่าตาจะมีความสามารถมองเห็นในที่มืดได้ แต่ก็จำเป็นต้องใช้แสง นกแสกจึงใช้การฟังเสียงจับการเคลื่อนไหวของเหยื่อในสภาพแวดล้อมที่มืดสนิทไม่มีแสง และดูเหมือนว่าจะใช้มากกว่าการมองหาเหยื่อ โดยลักษณะใบหน้าที่เหมือนรูปหัวใจ (Facial disc) แต่มีความสำคัญต่อการดักเสียงคล้ายจานดาวเทียม เพื่อรับเสียงเข้ามาที่หู โดยนกแสกมีหูสองข้างเหมือนมนุษย์ สามารถระบุตำแหน่งของเสียงได้เหมือนกัน แต่หูนกแสกนั้นแตกต่างตรงที่หูไม่เท่ากัน (Asymmetrical ears) ไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกัน เวลารับเสียงจึงต่างกัน โดยเวลาที่รับเสียงห่างกันเพียงเล็กน้อยสามารถรับรู้ได้ว่าทิศทางและระยะห่างระหว่างเหยื่อกับนกอยู่ตรงไหนได้อย่างแม่นยำ

เคลื่อนไหวเงียบไม่ให้เหยื่อรู้ตัว

เมื่อหาตำแหน่งของเหยื่อได้แล้วต่อไปคือ การเข้าหาตัวเหยื่อโดยไม่ทำให้เหยื่อรู้สึกตัว การเคลื่อนที่จำเป็นต้องทำให้เงียบที่สุด ในขณะที่บิน ปีกนกส่วนใหญ่จะมีเสียงที่ทำให้เหยื่อรู้สึกตัว ในทางตรงกันข้าม นกแสกถึงแม้จะเคลื่อนที่ได้ช้า แต่ก็เป็นนกล่าเหยื่อที่บินได้เงียบมากจนเหยื่อไม่ทันได้ตั้งตัว โดยขอบปีกที่เหมือนหวีหรือขนปีกที่แตกปลายจะช่วยลดเสียงเวลากระพือปีก และด้วยปีกที่ใหญ่เมื่อเทียบกับตัวที่มีน้ำหนักเบา จึงไม่จำเป็นที่จะต้องกระพือปีกหลายครั้งให้เกิดเสียง

นกแสกจึงร่อนกลางอากาศได้นานขึ้นและในขณะบินหาเหยื่อเสียงก็จะไม่กลบเสียงของเหยื่ออีกด้วย ในตอนสุดท้ายของการล่า นกแสกจะพุ่งหน้านำไปก่อนเพื่อดักฟังเสียงเหยื่ออีกที เมื่อมั่นใจว่าเหยื่ออยู่ตรงนั้นก็จะทิ้งตัวพร้อมกับแกว่งขา และกลางกรงเล็บไปตรงตำแหน่งของเหยื่อ

จากการปรับตัวทางด้านร่างกายและวิธีการล่าเหยื่อของนกแสกนั้นช่วยปิดช่องโหว่ ทำให้การจับเหยื่อไร้ซึ่งความผิดพลาด ดังนั้นนกแสกมีโอกาสสูงมากที่จะล่าได้สำเร็จ ซึ่งการล่าเหยื่อของนกแสกนั้นก็เป็นประโยชน์ต่อระบบนิเวศอย่างมาก นอกจากจะเป็นการควบคุมประชากรหนูแล้วนกแสกยังเป็นผู้กำจัดศัตรูพืชที่ดี ส่งผลให้เกษตรกรไม่จำเป็นที่จะต้องใช้สารเคมีหรือยาเบื่อหนูได้อีกด้วย

อ้างอิง