
‘กระต่ายทะเล’ ‘แกะทะเล’ นี่คือชื่อเรียกสุดน่ารักที่ผู้คนตั้งให้กับทากทะเลตัวจิ๋ว จากลักษณะเด่นของพวกมัน ได้แก่ ส่วนที่ยื่นออกมาจากส่วนหัวดูคล้ายหูยาว ๆ และพวงหางที่ดูนุ่มฟูตรงส่วนท้ายของลำตัว แต่แท้จริงแล้วนั้น หูกลับไม่ใช่หู และหางกลับไม่ใช่หางอย่างที่คิด
ทากทะเล หรือ ทากเปลือย (Nudibranch) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจัดอยู่ในไฟลัมมอลลัสกา (Phylum Mollusca) เช่นเดียวกับหอยและหมึก กลุ่มเดียวกับหอยฝาเดียว แต่เปลือกถูกลดรูปจนไม่เหลือให้เห็นจากภายนอก ลำตัวมีขนาดเล็กโดยมีตั้งแต่ขนาด 2 มิลลิเมตรไปจนถึง 30 เซนติเมตรได้เลยทีเดียว ส่วนมากอาศัยอยู่ในทะเลและสามารถพบได้ตามบริเวณที่เป็นแหล่งอาหารของพวกมัน เช่น ตามแนวปะการัง โขดหิน และสาหร่าย ทำให้ทากทะเลสามารถเป็นตัวบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศได้

ทากทะเลมีรูปร่างและสีสันที่หลากหลายแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิด แต่มีลักษณะที่คล้ายกันนั่นคือ ลำตัวแบน และมีส่วนที่คล้ายหูหรือเขา 2 ข้างที่ส่วนหัว ซึ่งความจริงแล้วอวัยวะส่วนนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ในการรับเสียงแบบหูของกระต่ายหรือแกะแต่อย่างใด แต่มันคือ ไรโนฟอร์ (Rhinophore) เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการรับสารเคมีในน้ำ หรือใช้ในการรับกลิ่นเหมือนจมูก เพื่อตรวจหากลิ่นของอาหาร รวมทั้งหากลิ่นของฮอร์โมนจากเพศตรงข้ามได้อีกด้วย และส่วนที่คล้ายหางบริเวณปลายลำตัวก็ไม่ได้ใช้ในการเคลื่อนที่หรือการทรงตัว แต่มันคือเหงือก (Gill plume หรือ Branchial plume) ที่ช่วยในการหายใจเหมือนสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ แต่สำหรับทากทะเลบางชนิดเช่น แกะทะเล (Costasiella kuroshimae) เหงือกจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นเซราต้า (Cerata) มีลักษณะคล้ายหนามขึ้นอยู่ตามลำตัว ทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนแก๊สเช่นกัน และยังเป็นส่วนที่เก็บสะสมเข็มพิษ (Cnidosac) ซึ่งได้จากอาหารที่มันกินเข้าไป เช่น สาหร่าย ฟองน้ำทะเล ปะการัง หรือแม้แต่ทากทะเลด้วยกันเอง ทั้งนี้ไรโนฟอร์และเซราต้ามีหลากหลายรูปร่างตามความแตกต่างของทากทะเลแต่ละชนิด รวมถึงสีสันของพวกมันเองยังใช้บ่งบอกถึงความอันตรายต่อผู้ล่าที่คิดจะเข้ามาใกล้ได้อีกด้วย
ด้วยความน่ารักและมีสีสันสดใสของทากทะเล ทำให้มีทากทะเลบางชนิดถูกเรียกด้วยชื่อสุดน่าเอ็นดูอย่าง กระต่ายทะเล หรือ แกะทะเล และยังเป็นที่นิยมในการเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในบางประเทศอีกด้วย สำหรับในประเทศไทยสามารถพบทากทะเลได้ตามแนวปะการังทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน


