กราโนล่า อาหารสุดฮิตของคนรักสุขภาพ

ถ้าพูดถึงอาหารเช้าหลายคนคงนึกถึงโจ๊ก ข้าวต้ม หรืออาหารเช้าแบบตะวันตก เช่น ขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอก แต่สำหรับคนรักสุขภาพหรือคนที่ไม่มีเวลา อาหารเช้าที่สะดวกที่สุดหนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น “กราโนล่า” เพราะแค่ฉีกซองเทลงบนโยเกิร์ตหรือจะใส่นมก็พร้อมทานแล้ว มันทั้งสะดวก ง่าย และยังเต็มไป ด้วยประโยชน์มากมาย

กราโนล่า (Granola) หรืออาจเรียกว่า ซีเรียลธัญพืช ประกอบไปด้วยธัญพืชชนิดต่าง ๆ เช่น ข้าวโอ๊ต เมล็ดถั่วต่าง ๆ ผลไม้อบแห้งและมีส่วนผสมที่ให้ความหวาน คือ น้ำผึ้ง น้ำตาล คาราเมล หรือช็อกโกแลต มีทั้งแบบที่บรรจุในซองคล้ายซีเรียลและแบบอัดแท่งที่สามารถแกะห่อแล้วรับประทานได้เลย สามารถใช้ทานเป็นของว่างระหว่างวันหรือทานคู่กับนมสดเป็นอาหารเช้าก็ได้ กราโนล่ามีลักษณะคล้ายกับซีเรียลแต่มีประโยชน์มากกว่าจึงเป็นตัวเลือกที่คนใส่ใจสุขภาพชื่นชอบ เพราะไม่ได้มีดีแค่ความอร่อยแต่ยังเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการดังต่อไปนี้

1. ไฟเบอร์

ธัญพืช ข้าวโอ๊ต และเมล็ดถั่วต่าง ๆ ที่เป็นส่วนผสมหลักของกราโนล่าอุดมไปด้วยไฟเบอร์ หรือใยอาหารที่มีส่วนช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร การขับถ่าย ลดอาการท้องผูก ควบคุมระดับน้ำตาลและ คอเรสเตอรอลในเลือด

 2. โปรตีน

ถั่วและธัญพืช เป็นแหล่งโปรตีนที่พบในกราโนล่า ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีโปรตีน โดยเฉพาะในมื้อเช้าจะช่วยให้สามารถควบคุมความหิวระหว่างมื้อได้ดี

3. วิตามิน

กราโนล่าเป็นอาหารที่มีวิตามินสูงโดยเฉพาะวิตามินอี ที่มีส่วนช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมของเซลล์ สร้างภูมิคุ้มกันและบำรุงผิวพรรณ ไทแอมีนและโฟเลต ซึ่งเป็นกลุ่มวิตามิน B มีส่วนช่วย ในการบำรุงหัวใจ ระบบประสาท และกระตุ้นระบบการเผาผลาญ

4. แร่ธาตุ

ส่วนผสมของกราโนล่าประกอบไปด้วยแร่ธาตุมากมาย เช่น แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ซิงค์ ทองแดง แมงกานีส ธาตุเหล็ก และซีลีเนียม ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายช่วยทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงาน ได้ดีขึ้น

กราโนล่า ถึงจะมีประโยชน์มากมาย แต่หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่าหากเรารับประทานเป็นประจำจะทำให้อ้วนได้หรือไม่ ถึงแม้ว่ากราโนล่าจะมีข้าวโอ๊ตเป็นส่วนผสมหลักที่สามารถควบคุมระดับคอเรสเตอรอลในเลือดได้ ทำให้ผู้คนนิยมรับประทานเพื่อช่วยลดน้ำหนัก แต่กราโนล่าจะช่วยลดน้ำหนักได้นั้นขึ้นอยู่กับว่า รับประทานมากเพียงใด และเลือกกราโนล่าที่มีส่วนผสมแบบใด ในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์กราโนล่าหลากหลายยี่ห้อ ถ้าต้องการรับประทานเพื่อลดน้ำหนักหรือกังวลว่าจะทำให้อ้วน การสังเกตก่อนบริโภคจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ โดยมีหลักการสังเกตดังนี้

  1. การสังเกตปริมาณน้ำตาล ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลธรรมชาติ น้ำตาลไม่ขัดสี น้ำเชื่อม หรือแม้แต่น้ำผึ้ง เนื่องจากน้ำตาลเป็นสารอาหารที่ดูดซึมเร็ว และกระตุ้นการสะสมไขมันในร่างกาย เป็นสาเหตุทำให้อ้วนได้
  2. การคำนวณปริมาณแคลอรี่ต่อการทาน 1 ครั้ง เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานเหมาะสมในแต่ละวัน
  3. การสังเกตปริมาณไขมัน โดยกราโนล่าที่ดีไม่ควรมีน้ำมันที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันปาล์ม และน้ำมันไฮโดรเจน หากมีน้ำมันควรเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำมัน มะกอกสกัดเย็น น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันรำข้าว เพราะน้ำมันเหล่านี้จะไม่เพิ่มความเสี่ยงการเกิด โรคหัวใจ และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (Low Density Lipoprotein : LDL) ในเลือด
  4. คนที่แพ้อาหารจำพวกถั่วเหลือง และอินนูลิน (อินนูลิน คือ เส้นใยอาหารชนิดละลายได้ในน้ำซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์สุขภาพหรือพรีไบโอติก (Prebiotics) ในร่างกาย การรับประทานอาหารที่มีอินนูลินจึงช่วยเพิ่มพรีไบโอติก เป็นการสร้างสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ทำให้ผู้ที่รับประทานรู้สึกอิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มวลไขมันและน้ำหนักลดลง) ควรอ่านฉลากทุกครั้งก่อนบริโภค
  5. การทำกราโนล่ารับประทานเองที่บ้าน ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่รักสุขภาพ เพราะเราสามารถเลือกส่วนผสมที่ต้องการใส่ลงไปเองได้จึงลดโอกาสที่จะทำให้อ้วน

จากคุณประโยชน์ของกราโนล่าดังที่กล่าวมาข้างต้น ที่อุดมไปด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ วิตามินและแร่ธาตุ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการตามที่ร่างกายต้องการ ทำให้ผู้คนนิยมนำมารับประทานเป็นอาหารเช้า เนื่องจากสารอาหารโดยเฉพาะโปรตีนและไฟเบอร์ สามารถช่วยให้เราอิ่มท้องนานส่งผลให้ทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพจนกว่าจะถึงมื้ออาหารมื้อถัดไปในตอนเที่ยง หรือหากหิวระหว่างวันแทนที่เราจะหยิบขนมคบเคี้ยวมารับประทานลองเปลี่ยนมาเป็นกราโนล่าสักถ้วย นอกจากจะอร่อยแล้วยังมีประโยชน์อีกด้วย

อ้างอิง