
ในสภาพอากาศที่ร้อนระอุในประเทศไทยตอนนี้ ทำให้เราเห็นข่าวว่ามีคนที่เกิดอาการชักจนเสียชีวิต เพราะอากาศที่ร้อนมากเกินไปหรือโรคลมแดด (Heat Stroke) แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงเองก็พบว่าเวลาที่อากาศร้อนจะมีสัตว์เลี้ยงจำนวนมากที่มีอาการ Heat Stroke ได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าร่างกายมีการตอบสนองเพื่อรักษาสมดุลอุณหภูมิ ถ้าหากร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิมากจนเกินไปไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิต่ำหรือสูงก็อาจจะส่งผลที่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรืออาจจะรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตดังที่เป็นข่าว
โดยปกติร่างกายของสัตว์เลือดอุ่นรวมไปถึงมนุษย์นั้น จะรักษาอุณหภูมิคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามสิ่งแวดล้อม ดังนั้นร่างกายจึงจำเป็นที่จะต้องมีการรักษาสมดุลความร้อน หรือการสร้างความร้อนที่ได้สัดส่วนกับการกำจัดความร้อนนั่นเอง ซึ่งร่างกายจะถูกควบคุมด้วยสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypotalamus) ให้มีอุณหภูมิประมาณ 37 °C และร่างกายจะมีตัวรับ (Receptor) ที่ใช้ในการรับอุณหภูมิร้อนเย็น เมื่อร่างกายได้รับความร้อนผ่านตัวรับ ร่างกายจะมีการลดความร้อนและระบายความร้อนออกมา โดยการลดกระบวนการเผาผลาญลง หลั่งเหงื่อพร้อมกับมีการขยายตัวของหลอดเลือด เพื่อระบายความร้อน ซึ่งเป็นสาเหตุที่เหงื่อออกและหน้าแดงเวลาที่อากาศร้อน เพื่อให้อุณหภูมิร่างกายลดลง ส่วนเวลาที่ร่างกายได้รับความเย็นผ่านตัวรับร่างกายจะตอบสนอง เพื่อสร้างความร้อนและลดการระบายความร้อนโดยการหนาวสั่นพร้อมกับมีการหดตัวของหลอดเลือด กล้ามเนื้อยึดเส้นขนบริเวณผิวหนังหดตัวดึงเส้นขนบริเวณผิวหนังให้ตั้งขึ้น เรียกว่าขนลุก อากาศจะไม่สามารถสัมผัสกับผิวหนังได้ช่วยลดการถ่ายเทความร้อนในร่างกายออกสู่สิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น
ปกติอุณหภูมิที่ร่างกายรับการเปลี่ยนแปลงได้ เมื่ออุณหภูมิอยู่ในช่วง 36-40 °C ซึ่งถ้าร่างกายมีอุณหภูมิที่ผิดปกติ ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กรณี คือ
- อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ
เมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงถึง 41°C ระบบประสาทบางส่วนจะถูกทำลายอย่างถาวร ทำให้เกิดอาการมึนงงและชักอย่างรุนแรง ถ้าอุณหภูมิยังสูงถึง 45°C ซึ่งเป็นขีดสุดที่ร่างกายจะทนไหว หากไม่มีการช่วยลดอุณหภูมิ เซลล์ทั่วไปของร่างกายจะถูกทำลายและอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ในที่สุด
2. การมีไข้
เกิดจากการมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ โดยไม่เกี่ยวข้องกับระบบการทำงานของร่างกาย แต่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือโปรตีนของเชื้อ ร่างกายจึงตอบสนองต่อภูมิต้านทาน โดยจะไปปรับอุณหภูมิในศูนย์ควบคุมอุณหภูมิให้สูงขึ้นเป็น 38 °C ร่างกายจึงต้องสร้างความร้อนด้วยการหดตัวของหลอดเลือด เกิดอาการหนาวสั่น เมื่อความร้อนเพิ่มมากขึ้นร่างกายก็จะรีบปรับสมดุลด้วยการหลั่งเหงื่อ เพื่อให้ร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ โดยไม่ต้องใช้ยาหรือเช็ดตัวเพื่อระบายความร้อน
3. อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ
ถ้าหากร่างกายมีอุณหภูมิต่ำกว่า 34 °C จะมีอาการอยู่ในสภาพที่ไม่รู้สึกตัว อัตราการสร้างความร้อนจะลดลงถึงสองเท่า และถ้าอุณหภูมิต่ำจนถึง 28 °C ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายจะเสียไปอย่างถาวร ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตามสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับสัตว์เลือดเย็น
นอกจากกลไกการทำงานของร่างกายจะช่วยรักษาอุณหภูมิได้แล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็เป็นตัวช่วยให้เรารับมือกับอันตรายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกายได้ ถ้าต้องอยู่ในที่หนาวเย็นก็ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ห่มผ้าอุ่น ๆ หากรู้สึกว่าอากาศร้อนมากเราก็เลือกที่จะใส่เสื้อผ้าที่ไม่มิดชิดจนเกินไป ดื่มน้ำให้มากขึ้น ลดการทำกิจกรรมที่สร้างความร้อน หรือย้ายไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็นขึ้น และเช่นเดียวกันเราสามารถที่จะดูแลสัตว์เลี้ยงของเราไม่ให้เสียชีวิตจากอากาศร้อนได้โดยพาไปนอนแช่น้ำ พาไปว่ายน้ำเล่น หรืออาจจะเปิดเครื่องปรับอากาศ เพื่อลดอุณหภูมิให้กับสัตว์เลี้ยงของเรา เพียงเท่านี้เราก็สามารถรู้ทันและปรับตัวกับภัยร้ายจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้
อ้างอิง
https://bit.ly/3sFB0B8
https://bit.ly/384qYzQ
https://bit.ly/3y9vqIg
พนารัตน์ จำปา.2548.การพัฒนาแนวปฎิบัติทางคลินิกในการป้องกันภาวะหนาวสั่นในผู้ป่วยหลังผ่าตัดในโรงพยาบาลลำปาง.เชียงใหม่: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.