รู้หรือไม่ พืชกระท่อมถูกปลดล็อกจากการเป็นยาเสพติดแล้ว

รู้หรือไม่ พืชกระท่อมถูกปลดล็อกจากการเป็นยาเสพติดแล้ว

ทุกคนทราบหรือไม่ว่า พืชกระท่อมจากเดิมที่ถูกจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ในตอนนี้ได้มีประกาศออกมาว่าพืชกระท่อมได้รับการปลดออกจากสถานะยาเสพติดแล้วทำให้เราสามารถใช้พืชกระท่อมได้หลากหลายมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการวิจัย การปลูก หรือการบริโภค รู้อย่างนี้แล้วเรามาทำความรู้จักกับพืชกระท่อมกันดีกว่า ว่าพืชกระท่อมคืออะไร มาจากไหน มีประโยชน์หรือโทษอะไรบ้างผ่านบทความนี้กันเลย

พืชกระท่อมมีถิ่นกำเนิดมาจากที่ใด ?

พืชกระท่อม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Mitragyna speciosa (Korth.) Havil. อยู่ในวงศ์ Rubiaceae
ซึ่งเป็นพืชวงศ์เข็มและกาแฟ มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้มากทางภาคใต้ของประเทศไทยมาเลเซียลงไปจนถึงเกาะนิวกินี โดยในประเทศไทยพบอยู่ 3 สายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์แตกต่างกันที่ลักษณะของใบ คือพันธุ์ก้านแดง (ก้านและเส้นใบสีแดง) พันธุ์แตงกวา (เส้นใบสีเขียวอ่อนกว่าแผ่นใบ) และพันธุ์ยักษาใหญ่ (ใบขนาดใหญ่กว่าพันธุ์อื่นและส่วนบนของขอบใบเป็นหยัก)

ทำไมในอดีตพืชกระท่อมถึงจัดเป็นยาเสพติด ?

ในอดีตมีการใช้ใบกระท่อมในการรักษาโรคต่าง ๆ โดยใช้ใบสดหรือใบแห้งนำมาเคี้ยว สูบ หรือชงเป็น
น้ำชา ซึ่งกลุ่มผู้ใช้แรงงานและเกษตรกรมักบริโภคใบกระท่อมเพื่อกดอาการเมื่อยล้าขณะทำงาน ทำให้สามารถทำงานได้นานขึ้น และตั้งแต่ปี 2486 ในสมัยรัชกาลที่ 8 รัฐบาลได้ออกกฎหมายควบคุมพืชกระท่อมให้พืชกระท่อมจัดเป็นยาเสพติดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าและภาษีของรัฐ เนื่องจากรัฐเป็นผู้ผูกขาดการผลิตฝิ่น ซึ่งมีราคาแพง ทำให้คนหันมาสูบกระท่อมแทนฝิ่น

พืชกระท่อมสามารถกินในรูปแบบใดได้บ้าง

การกินพืชกระท่อมมักนิยมนำใบสดหรือใบแห้งมาเคี้ยว สูบ หรือชงเป็นน้ำชา แต่ถ้าหากกินใบกระท่อมโดยไม่ได้รูดเอาก้านใบออกจากตัวใบก่อน อาจทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ถุงท่อม” ในลำไส้เล็กได้เนื่องจากก้านใบและใบของกระท่อมไม่สามารถย่อยได้ จึงตกตะกอนติดค้างอยู่ภายในลำไส้ขับถ่ายออกมาไม่ได้เกิดพังผืดขึ้นมาหุ้มรัดอยู่โดยรอบก้อนกากกระท่อมนั้น ทำให้เกิดเป็นก้อนถุงขึ้นในลำไส้ จึงไม่ควรกินกากใบกระท่อม และบางคนอาจมีอาการหวาดระแวงเห็นภาพหลอนได้

ยกเลิก “พืชกระท่อม” จากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5

ในวันที่ 26 พ.ค. 2564 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2564 โดยหลังประกาศยังไม่มีผลทันที จะมีผล 90 วันหลังจากประกาศ หรือ ในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ซึ่งมีสาระสำคัญคือการปลดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ ทำให้มีผลดังนี้

  • ยกเลิกความผิดและโทษเกี่ยวกับพืชกระท่อม
  • สามารถเพาะปลูก บริโภค และใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมได้
  • กรณีนำเข้า-ส่งออก หรือนำใบกระท่อมมาแปรรูปเป็นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ จะต้องขออนุญาตก่อน
  • ห้ามนำไปผสมกับยาเสพติดชนิดอื่น เช่น สารเสพติดชนิด 4×100
  • ห้ามขายให้เยาวชน สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร
  • ห้ามขายในสถานศึกษาและวัด

ประโยชน์ที่ได้รับหากยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติด

  • สารไมทราไจนีน (mitragynine) เป็นสารที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในหลายระบบและถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคอย่างกว้างขวาง ซึ่งพบได้เฉพาะในพืชกระท่อมเท่านั้น โดยสารนี้จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ช่วยทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า บรรเทาอาการปวดเมื่อย ต้านการอักเสบ แก้ไอ ลดไข้ และแก้ท้องเสีย
  • นำไปใช้บรรเทาอาการปวดแทนมอร์ฟีน
  • ใช้บำบัดผู้ติดยาเสพติด
  • บรรเทาความเหนื่อยล้า จากการทำงานหนักกลางแดด
  • สร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้าน กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน
  • ลดคดีเกี่ยวกับกระท่อม และช่วยประหยัดงบประมาณรัฐไปได้อย่างมหาศาล

ผลข้างเคียงของพืชกระท่อม

  • มีฤทธิ์กล่อมประสาทและเสพติด
  • เบื่ออาหาร
  • ท้องผูก
  • ปัสสาวะบ่อย
  • นอนไม่หลับ
  • ปากแห้ง
  • อาการคลื่นไส้ และอาเจียน
  • ผิวหนังคล้ำลง
  • มีอาการทางจิต ก้าวร้าว ซึมเศร้า หวาดระแวงเห็นภาพหลอน
  • ปวดกล้ามเนื้อ แขนขากระตุก

จากการที่พืชกระท่อมถูกปลดออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 คาดว่าในอนาคตน่าจะมีการใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมในการรักษาทางการแพทย์กันอย่างแพร่หลายขึ้น และที่สำคัญพืชกระท่อมอาจเป็นพืชที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจตัวใหม่ ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาลก็เป็นได้

อ้างอิง